NB-IoT โครงข่ายเพื่อการเชื่อมต่อ Things
การที่ Internet จะมีอยู่ในทุกสิ่งได้ สิ่งสำคัญคือโครงข่าย และการส่งข้อมูลของ Things สิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงคือพลังงาน อุปกรณ์ Internet of Things (iot) ต้องใช้พลังงานต่ำ เพราะอุปกรณ์ Things จะถูกติดตั้งอยู่ในที่ต่างๆ ซึ่งมีแหล่งพลังงานเป็นแบตเตอรี่ตัวเล็กๆ การรักษาพลังงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเข้าไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ Things ทุกตัวในระบบบ่อยๆ คงเป็นสิ่งที่ไม่เข้าที NB-IoT จึงถูกพัฒนาขึ้น
ในปัจจุบันโครงข่ายที่มีความคลอบคลุมและทั่วถึงที่สุดคงหนี้ไม่พ้นโครงข่ายของ Cellular หรือ โครงข่ายของสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งโครงข่ายนี้ได้ถูกพัฒนาทั้งในด้านของความเร็ว และปริมาณของข้อมูลในการส่งผ่าน ซึ่งเกินความจำเป็นไปมากสำหรับอุปกรณ์ IoT
NB-IoT จึงกำเนิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความจำเป็นและคุณลักษณะในการใช้งานเฉพาะสำหรับอุปกรณ์เหล่านั้น
NB-IoT หรือ Narrow Band IoT ถูกออกแบบโดย 3GPP ที่มีหน้าที่กำหนดสเปคทางด้านการสื่อสาร 3G, 4G/LTE เป็นการใช้เครือข่ายสัญญานมือถือในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ โดยส่งผ่านข้อมูลขนาดเล็ก และใช้พลังงานต่ำ ซึ่งการเชื่อมต่อก็ไม่ได้ยุ่งยากเพียงแค่ใส่ SIM เข้าไปในอุปกรณ์ IoT ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อส่งข้อมูลกันได้แล้ว
ซึ่งข้อดีของ NB-IoT คือ
- เป็นการใช้โครงข่ายของเครือข่ายมือถือ ได้ระยะในการส่งข้อมูลที่ไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสายให้ยุ่งยาก
- รัศมีครอบคลุมของเครือข่ายต่อสถานีฐาน กระจายได้มากกว่า 10 ก.ม. แม้ภายในอาคารก็ยังรับสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ถ้ามีสัญญาณมือถือ)
- ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ IoT อยู่ได้นานถึง 10 ปี
- รองรับปริมาณอุปกรณ์ IoT ในระบบได้จำนวนมาก
Narrowband IoT เป็นมาตรฐานระบบโครงข่ายที่ใช้พลังงานต่ำ ที่ถูกพัฒนามาเพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้าหากันได้โดยผ่านโครงข่ายของสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่นั่นเอง ซึ่งเป็นบริการของผู้ให้บริการเครือข่าย ซึ่งสามารส่งข้อมูลได้ในระยะไกล และมีการคิดค่าบริการโดยผู้ให้บริการเครือข่ายเหมือนการจ่ายค่าใช้บริการ 3G/4G ของมือถือที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง แต่จะมีราคาถูกกว่าเนื่องจากปริมาณ Data ที่ส่งผ่านมีปริมาณน้อยนั่นเอง
